เอกภพ หรือ จักรวาล (Universe) เป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดและไร้ขอบเขต และเป็นห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยดวงดาวจำนวนมหาศาล ซึ่งเราจะเรียกดวงดาวที่เกาะกันเป็นกลุ่มว่า กาแล็กซี และในแต่ละกาแล็กซี ก็จะมีระบบของดาวฤกษ์ กระจุกดาว เนบิวลา หลุมดำ อุกกาบาต ฝุ่นผง กลุ่มก๊าซ และที่ว่างอยู่รวมกันอยู่ ซึ่งก็โลกอยู่ในกาแล็กซีหนึ่ง ที่เรียกกันว่า กาแล็กซีทางช้างเผือก นั่นเอง
ต้นกำเนิด ที่แท้จริงของ เอกภพ นั้น ที่จริงมีอยู่หลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับจากนักดาราศาสตร์มากที่สุดในปัจจุบัน ก็คือ ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang Theory) ของ " จอร์จ เลอแมตร์ " ที่เชื่อกันว่า เอกภพเริ่มต้นจากความเป็นศูนย์ ไม่มีเวลา ไม่มีแม้แต่ความว่างเปล่า และเอกภพกำเนิดขึ้นโดยการระเบิด ซึ่งหลังจากการระเบิดนั้น เอกภพ ก็เริ่มขยายตัวออกไป ก่อนที่จะเกิดอนุภาคมูลฐาน อะตอม และโมเลกุล ต่าง ๆ ขึ้นตามมาหลังจากนั้น ทั้งแรงระเบิดดังกล่าว ยังทำให้เกิดแรงดันระหว่างกาแล็กซีต่าง ๆ ให้ห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งแรงดันที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการของเอกภพมีอยู่แรง 2 แรง คือ แรงดันออกหลังจากการระเบิดครั้งใหญ่ และแรงโน้มถ่วงดึงดูดให้เอกภพเข้ามารวมตัวกัน ซึ่งทั้ง 2 แรงดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดลักษณะของ เอกภพ ดังนี้
เอกภพวิทยาในอดีต
- เอกภพของชาวสุเมเรียน และบาบิโลเนียน
- เอกภพของกรีก
- เอกภพของเคปเลอร์
- เอกภพของกาลิเลโอ
เอกภพของชาวสุเมเรียน : The Sumerians
ในยุคเริ่มต้นประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาประมาณ 7,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวสุเมเรียนอาศัยอยู่ที่บริเวณตอนกลางของเอเชียในดิแดนที่ชื่อ " เมโสโปเตเมีย " ( ประเทศอิรัก ในปัจจุบัน ) ในบันทึกต่างๆพบการบันทึกตำแหน่งของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์โดยมีโลกแบน
- บันทึกตำแหน่งของดาวฤกษ์ และดาวเคาระห์โดยให้โลกเป็นศูนย์กลาง
- มีการบันทึกการตั้งชื่อกลุ่มดาวในท้องฟ้า
- อธิบายการเคลื่อนที่ของดวงดาว ตามความเชื่อที่ว่า " เทพเจ้าปกครองโลกท้องฟ้าและน้ำ "
- ให้ความหมายของเอกภพว่า " ท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดวงดาวต่างๆ ที่เคลื่อนที่ไปตามเวลา ตามความประสงค์ของพระเจ้า "
เอกภพของชาวบาบิโลน : The Babylonians
ในช่วงเวลาประมาณ 2,000 ปี ถึง 500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวบาบิโลนได้ริเริ่มสังเกตและจดบันทึกการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆเป็นประจำอย่างมีระบบ โดยอาศัยพื้นฐานความรู้ทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียน
- ทำแค็ตตาล็อก ( วาดภาพดาวฤกษ์ )ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์พร้อมระบุเส้นทาง การขึ้น-ตก ของดวงดาวทุกๆวัน
- ทำนายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ได้อย่างถูกต้อง
- ทำนายการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล ได้อย่างถูกต้อง
- ทำปฏิทิน แสดงฤดูกาล
เอกภพของกรีก : Greek cosmology
- อาศับข้อมูลจาก สุเมเรียน + บาบิโลน และคณิตศาสตร์
- โซคราตีส , ธาลีส , อเล็กซิมานเดอร์ , อเน็กซีมีนิส = ให้ความเห็นว่า " โลกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ "
- อลิสโตเติล พบว่า โลกมีลักษณะทรงกลม
- อริสตาร์คัส โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
เอกภพของเคปเลอร์ :Johannes Kepler
โคเปอร์นิคัส พบว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม
โญฮันเนส เคปเลอร์ เสนอกฎเคปเลอร์ 3 ข้อ
1. วงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรี
2.เส้นที่ลากจากระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์จะกวาดเป็นพื้นที่ได้เท้ากันในเวลาที่เท่ากัน
3.คาบ^2 แปรผันตรงกับ ระยะห่างจากดวงอาทิตย์
โญฮันเนส เคปเลอร์ เสนอกฎเคปเลอร์ 3 ข้อ
1. วงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรี
2.เส้นที่ลากจากระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์จะกวาดเป็นพื้นที่ได้เท้ากันในเวลาที่เท่ากัน
3.คาบ^2 แปรผันตรงกับ ระยะห่างจากดวงอาทิตย์
เอกภพของ กาลิเลโอ
กาลิเลโอ กาลิเลอี ใช้กล้องโทรทรรศน์ ศึกษาดาราศาสตร์พบว่า
- ผิวดวงจันทร์มีภูเขา และหลุมอุกบาตร
- ทางช้างเผือกที่มองเห็นเป็นผ้าขุ่น แท้จริงคือ " ดาวฤกษ์ "
กำเนิดเอกภพ
ทฤษฎีบิกแบง : BIG BANG THEORY เป็นการเปลี่ยนแปลงพลังงาน มาเป็น มวลสาร
ขณะที่เกิดบิกแบง ได้ปรากฏอนุภาคพื้นฐาน ได้แก่ควาร์ก (Quark) อิเล็กตรอน นิวทรีโน และโฟตอน
อนุภาคเหล่อนนี้มีปฏิอนุภาค (Anti-particle)ของมันด้วย หากอนุภาคใดพบปฏิอนุภาคของมันจะเกิดการหลอมรวมกันของอนุภาคทั้งสอง ทำให้อนุภาคทั้งสองกลายเป็นพลังงาน ในเอกภพมีจำนวนอนุภาคมากกว่าจำนวนปฏิอนุภาคในเอกภพ และก่อให้เกิดเป็นสสารต่างๆ ในเอกภพในปัจจุบัน
ขณะที่เกิดบิกแบง ได้ปรากฏอนุภาคพื้นฐาน ได้แก่ควาร์ก (Quark) อิเล็กตรอน นิวทรีโน และโฟตอน
อนุภาคเหล่อนนี้มีปฏิอนุภาค (Anti-particle)ของมันด้วย หากอนุภาคใดพบปฏิอนุภาคของมันจะเกิดการหลอมรวมกันของอนุภาคทั้งสอง ทำให้อนุภาคทั้งสองกลายเป็นพลังงาน ในเอกภพมีจำนวนอนุภาคมากกว่าจำนวนปฏิอนุภาคในเอกภพ และก่อให้เกิดเป็นสสารต่างๆ ในเอกภพในปัจจุบัน
หลังเกิดบิกแบง 1 ไมโครวินาที อุณภูมิของเอกภพลดลงปริมาณ สิบล้านล้านเคลวินและควาร์ก รวมตัวกันกลายเป็น โปรตอนกับนิวตรอน
หลังเกิดบิกแบงได้ 3 นาที อุณหภูมิของเอกภพลดลงไปอีกเป็นร้อยล้านเคลวินและเกิดการรวมตัวกันของโปรตอนกับนิวตรอนกลายเป็นฮิเลียมในช่วงนี้เอกภพขยายตัวเร็วมาก
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 300,000 ปี อุณหภูมิของเอกภพได้ลดลงเหลือ 10,000 เคลวิน นิวเคลียสของไฮโรเจนและฮีเลียมดึงอิเล็กตรอนเข้ามาเป็นวงจร เกิดเป็นอะตอม
หลังเกิดบิกแบงอย่างน้อย 1,000 ล้านปี ได้เกิดมีกาแล็กซี โดยภายในกาแล็กซีมีธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียม เป็นสารเบื้องต้นในการก่อกำเนิดดาวฤกษ์รุ่รแรกๆ
เป็นทฤษฎีที่ ได้รับการยอมรับ และมีหลักฐานสนับสนุนมาที่สุดในปัจจุบัน เรียกว่ายังหาทฤษฎีอื่นมาลบล้างยังไม่ได้ เริ่มจากการคิดตั้งของ Abbe George Lemaitre พระและนักดาราศาสตร์ชาวเบลเยียม เป็นผู้เสนอทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบ Big Bang เมื่อปี ค.ศ.1927
แต่ทฤษฎีกำเนิดจักรวาล จากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ได้รับการยอมรับในวงการดาราศาสตร์มากกว่า เพราะข้อมูลหลักฐานทางดาราศาสตร์ถึงปัจจุบัน สนับสนุนทฤษฎีกำเนิดจักรวาล จากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ มากกว่าข้อมูลหลักฐานที่สำคัญ มีอยู่ 2 ประการ คือ
(1) การขยายตัวของจักรวาล ซึ่งตามทฤษฎีกำเนิดจักรวาลจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ อธิบายว่า เป็นผลจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในอดีตนั่นเอง ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล เคลื่อนที่หนีออกจากกัน จนกระทั่งทุกวันนี้สำหรับทฤษฎีสภาวะคงที่ ก็อธิบายการขยายตัวของจักรวาลได้เช่นกัน ว่า เป็นผลจากการเกิดของอนุภาคใหม่ ซึ่งอาจเกิดจากการสลายตัวของพลังงาน แล้วเปลี่ยนไปเป็นสสาร ตามสมการ
E = mc 2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสสารกับพลังงานของไอน์สไตน์ เมื่อมีอนุภาคใหม่เกิดขึ้น ก็ดันพื้นที่ของอวกาศรอบตัวอนุภาค ทำให้อนุภาคอื่นๆ ขยับ เคลื่อนที่ห่างออกไป ผลคือทำให้จักรวาลขยายตัว แต่คำอธิบายนี้ไม่ชัดเจนและหนักแน่นเท่าคำอธิบายการขยายตัวของจักรวาลตามทฤษฎีการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่
(2) การค้นพบคลื่นรังสีความร้อนระดับไมโคร เวฟ มีอุณหภูมิประมาณ 3 เคลวิน กระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลอย่างสม่ำเสมอ โดยนักวิทยาศาสตร์สองคน คือ โรเบิร์ต วิลสัน (Robert Wilson) และ อาร์โน เพนเซียส ( Arno Penzius ) เมื่อปี ค.ศ. 1965 ซึ่งทำให้จักรวาลมีสภาพคล้ายจมอยู่ในทะเลพลังงานความร้อน
คลื่นรังสีความร้อนที่กระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลนี้ สอดคล้องรับกับทฤษฎีกำเนิดจักรวาลจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ได้อย่างดีว่า เป็นพลังงานของการระเบิดที่ยังหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เพราะเมื่อคำนวณจากขนาดของพลังงานความร้อนที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ย้อนหลังไปสู่จุดกำเนิดที่มา ก็จะลงตัวได้อย่างค่อนข้างดี จนกระทั่งคลื่นรังสีความร้อนประมาณ 3 เคลวินนี้ ถูกเปรียบเทียบเรียกเป็น เสียงจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ให้ได้ยินกันในปัจจุบัน
คลื่นรังสีความร้อนที่กระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลนี้ สอดคล้องรับกับทฤษฎีกำเนิดจักรวาลจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ได้อย่างดีว่า เป็นพลังงานของการระเบิดที่ยังหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เพราะเมื่อคำนวณจากขนาดของพลังงานความร้อนที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ย้อนหลังไปสู่จุดกำเนิดที่มา ก็จะลงตัวได้อย่างค่อนข้างดี จนกระทั่งคลื่นรังสีความร้อนประมาณ 3 เคลวินนี้ ถูกเปรียบเทียบเรียกเป็น เสียงจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ให้ได้ยินกันในปัจจุบัน
สำหรับทฤษฎีสภาวะคงที่ ไม่มีคำอธิบายที่ดีสำหรับกำเนิดที่มาของพลังงานความร้อนประมาณ 3 เคลวินที่กระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลทำให้ทฤษฏีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับกัน และนับวันจะมีผู้เชื่อน้อยลง
กาแล็กซี : Galaxy
กาแล็กซี (galaxy) เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ บริเวณของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง อุกกาบาต รวมทั้งแก๊สและฝุ่นธุลีในอวกาศกาแล็กซีเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ ซึ่งกำเนิดมาจากมวลของแก๊ส ภายใต้ความดันและแรงดึงดูดระหว่างกันบริเวณใจกลางของกาแล็กซีมีดาวฤกษ์ กระจุกดาว แก๊สและฝุ่นธุลีอยู่หนาแน่น ลักษณะของกาแล็กซีมีรูปร่างคล้ายจักรหรือไข่ ดาว ด้ามองด้านบนจะเห็นเป็นรูปทรงกลมหมุนรอบตัวเองแบบทวนเข็มนาฬิกา แต่ ถ้ามองด้านข้างจะเห็นคล้ายจานแบน
กาแล็กซีประเภทต่างๆ
กาแล็กซีมีรูปทรงแตกต่างกันหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทคือ กาแล็กซีปกติ (Regular galaxy) ที่มีสัณฐานรูปทรงชัดเจนสามารถแบ่งได้ตามแผนภาพส้อมเสียง (Hubble Turning Fork) ตามที่แสดงในภาพที่ 1 และกาแล็กซีไม่มีรูปแบบ (Irregular Galaxy) ที่ไม่มีรูปทรงสัณฐานชัดเลย เช่น เมฆแมกเจลแลนใหญ่ เมฆแมกเจลแลนเล็ก ซึ่งเป็นกาแล็กซีบริวารของทางช้างเผือก ![]() |
แผนภาพส้อมเสียงกาแล็กซีของฮับเบิล |
2.กาแล็กซีกังหัน (Spiral Galaxy) แบ่งย่อยเป็น 3 แบบ กาแล็กซีกังหัน Sa มีส่วนป่องหนาแน่น แขนไม่ชัดเจน, กาแล็กซีกังหัน Sb มีส่วนป่องใหญ่ แขนยาวปานกลาง, กาแล็กซีกังหัน Sc มีส่วนป่องเล็ก แขนยาวหนาแน่น
3.กาแล็กซีกังหันแบบมีคาน หรือ กาแล็กซีกังหันบาร์ (Barred Spiral Galaxy) แบ่งย่อยเป็น 3 แบบ กาแล็กซีกังหันบาร์ SBa มีส่วนป่องใหญ่ไม่เห็นคานไม่ชัดเจน, กาแล็กซีกังหันบาร์ SBb มีส่วนป่องขนาดกลาง เห็นคานได้ชัดเจน, กาแล็กซีกังหันบาร์ SBc มีส่วนป่องเล็กมองเห็นคานยาวชัดเจน
4.กาแล็กซีลูกสะบ้า หรือ กาแล็กซีเลนส์ (Lenticular Galaxy) เป็นกาแล็กซีที่ไม่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างกาแล็กซีรีและกาแล็กซีกังหัน กล่าวคือ ส่วนโป่งขนาดใหญ่และไม่มีแขนกังหัน (แบบ S0 หรือ SB0)
นักดาราศาสตร์พบว่า กาแล็กซีส่วนใหญ่ที่พบร้อยละ 77 เป็นกาแล็กซีแบบกังหันและกังหันบาร์ มีขนาดใหญ่ องค์ประกอบหลักเป็นประชากรดาวประเภทหนึ่ง (Population I มีธาตุหนักเกิดจากซูเปอร์โนวา สว่างมาก อุณหภูมิสูง) ซึ่งมีอายุน้อย กาแล็กซีจึงมีสีน้ำเงินดังภาพที่ 2 กาแล็กซีร้อยละ 20 เป็นกาแล็กซีรี มีขนาดใหญ่ องค์ประกอบหลักเป็นประชากรดาวประเภทสอง (Population II ไม่มีธาตุหนัก สว่างน้อย อุณหภูมิต่ำ) ซึ่งมีอายุมากและไม่มีดาวเกิดใหม่ กาแล็กซีจึงมีแดงดังภาพที่ 3 ส่วนที่เหลือร้อยละ 3 เป็นกาแล็กซีไม่มีรูปแบบ มีขนาดเล็กและกำลังส่องสว่างน้อย มีประชากรดาวประเภทหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น